วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์

  
p_grass ๑

กระจกนาฬิกา ( Watch grass ) นั้นจะมีรูปทรงคล้ายกระจกนาฬิกาเรือนกลม มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับความยาว ของเส้นผ่าศูนย์กลางของกระจก
         ซึ่งกระจกนาฬิกานั้นใช้สำหรับปิดบีกเกอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อป้องกันสารอื่น ๆ หรือฝุ่นระออง   ตกลงไปในสารละลายที่บรรจุอยู่ในบีกเกอร์และใช้เพื่อป้องกันการกระเด็นของสารละลายออกจากบีกเกอร์เมื่อทำการทดลอง เช่น การต้มสาร

p_flask ๑
ขวดวัดปริมาตร
1. ขวดปริมาตรฟลอเรนส์ (Florence Flask) หรือเรียกว่า Flat Bottomed Flask มีลักษณะคล้ายลูกบอลลูน มักจะใช้สำหรับต้มน้ำ เตรียมแก๊ส
2. ขวดปริมาตรก้นกลม (Round Bottom Flask) ขวดปริมาตรชนิดนี้มีลักษณะเหมือนกับ Florence Flask แต่ตรงก้นขวดจะมีลักษณะกลมทำให้ไม่สามารถตั้งได้
3. ขวดปริมาตรทรงกรวย (Erlenmeyer Flask หรือ Conical Flask) ขวดปริมาตรชนิดนี้มีลักษณะเป็นทรงกรวย และมีความจุขนาดต่าง ๆ กัน แต่ที่นิยมใช้กันมากมีความจุเป็น 250-500 มล. สามารถใช้ได้ในหลายกรณี เช่น ในการไตเตรท
4. ขวดปริมาตรกลั่น (Distilling Flask) ขวดปริมาตรชนิดนี้นิยมใช้ในการกลั่นของเหลว
5. Volumetric Flask ขวดปริมาตรชนิดนี้มีลักษณะเป็นขวดคอยาวที่มีขีดบอกปริมาตรบนคอขวดเพียงขีดเดียว นิยมใช้ในการเตรียมสารละลาย โดยทั่วไปจะนำสารนั้นมาละลายในบีกเกอร์ก่อนที่จะเทลงในขวดปริมาตร

การเตรียมสารละลายโดยใช้ขวดวัดปริมาตร
1. ละลายสารในขวดปริมาตรให้มีปริมาตรประมาณ 3/4 ของขวด ปิดจุกขวดแล้วหมุนขวดปริมาตรด้วยข้อมือให้สารละลายไหลไปทางเดียวกัน เพื่อให้สารในขวดละลายจนหมด (ในกรณีที่สารเป็นของแข็ง) หรือให้สารผสมเป็นเนื้อเดียวกัน (ในกรณีที่สารเป็นของเหลว) ควรจับที่คอขวด
2. เติมตัวทำละลายลงในขวดปริมาตรให้ส่วนโค้งเว้าต่ำสุดของสารละลายอยู่ตรงขีดบอกปริมาตร การอ่านปริมาตรต้องให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับขีดบอกปริมาตร เพื่อป้องกันการอ่านปริมาตรผิด3. ปิดจุกขวดปริมาตรแล้วคว่ำขวดจากบนลงล่าง ทำแบบนี้ 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสารเท่าเทียมกันทุกส่วน                                                                                                         4. จากข้อ 3 กลับขวดปริมาตรให้อยู่ในลักษณะเดิม แล้วจับคอขวดหมุนไปมาประมาณ 3 รอบ ทำซ้ำจนแน่ใจว่าสารละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
หลอดทดลอง
Test-Tube-Glass-Cylindrical-Bottom 1

การใช้งานของหลอดทดลง
1.  หลอดทดลองมีหลากหลายชนิดและหลายขนาด ชนิดที่มีปากและไม่มีปาก ชนิดธรรมดาและชนิดทนไฟ ขนาดของหลอดทดลองระบุได้ 2 แบบคือ ความยาวกับเส้นผ่าศูนย์กลางริมนอกหรือขนาดความจุเป็นลิตร
2.  หลอดทดลองส่วนมากใช้สำหรับทดลองปฎิกิริยาเคมีระหว่าง สารต่างๆที่เป็นสารละลาย ใช้ต้มของเหลวที่มีปริมาณน้อยๆ
3.  หลอดทดลองแบบทนไฟจะมีขนาดใหญ่และหนากว่าหลอดธรรมดา ใช้สำหรับเผาสารต่างๆด้วย   เปลวไฟโดยตรงในอุณหภูมิที่สูง หลอดชนิดนี้ไม่ควรใช้สำหรับทดลองปฎิกิริยาเคมีระหว่างสารเหมือนหลอดธรรมดา

ประโยชน์
       – ใช้ใส่สารและทำปฎิกิริยาเคมีของสารต่าง ๆ


กระบอกตวง
          กระบอกตวง ใช้สำหรับวัดปริมาตรโดยประมาณของของเหลว ขนาดที่ใช้ คือ ความจุ 5 – 2000 ml
204521_0_Cylinder_Glass 1

วิธีการใช้งานกระบอกตวง
1. เทสารละลายจากขวดบรรจุสารเคมีลงในบีกเกอร์
ควรเทของเหลวให้มีปริมาตรมากกว่าที่ต้องการใช้เล็กน้อยลง ไม่ควรเทส่วนที่เหลือกลับคืน ภาชนะเดิม
ห้ามวางสารเคมีทิ้งไว้โดยไม่ปิดฝา และก่อนปิดต้องแน่ใจว่าฝาไม่สลับกับขวดอื่น
2. เทสารละลายจากบีกเกอร์ลงไปในกระบอกตวงจนส่วนโค้งเว้าต่ำสุดอยู่ต่ำกว่าขีดบอกปริมาตร
3. ใช้ปิเปตหรือหลอดหยดช่วยในการปรับปริมาตรให้ส่วนโค้งเว้าต่ำสุดของสารละลาย อยู่ตรงกับขีดบอกปริมาตร
4. อ่านปริมาตรของของเหลวในกระบอกตวง ทำได้โดยการยกกระบอกตวงให้ตั้งตรงและให้ส่วน โค้งเว้าต่ำสุดอยู่ระดับสายตาและอ่านค่าปริมาตร ณ จุดต่ำสุดของส่วนโค้งเว้า
5. การเทสารทำได้โดยเอียงกระบอกตวงให้แตะกับปากภาชนะที่รองรับ
ข้อควรระวัง
  • ในการอ่านปริมาตร ควรที่จะให้ระดับสายตาอยู่ในแนวเดียวกันกับส่วนโค้งเว้าต่ำสุดเสมอ



บีกเกอร์


Beaker%20-%203  1
         บีกเกอร์ เป็นแก้วใส ใช้สำหรับบรรจุสารที่มีปริมาณมาก     เพื่อละลายสารหรือทำปฏิกิริยาเคมี และสามารถเทสารออกได้ง่ายทางปากบีกเกอร์ โดยจะมีขีดบอกปริมาตรซึ่งเป็นค่าโดยประมาณเท่านั้น ขนาดที่ใช้ คือ ความจุ 5 – 5000 ml
ส่วนประกอบและรายละเอียดที่ปรากฎบนบีกเกอร์
BBeaker 2
1.  ขีดบอกปริมาตร
2.  ปากบีกเกอร์
3.  บริษัทผู้ผลิต
4.  ขนาดของบีกเกอร์
5.  ที่ติดฉลาก
6.  ประเทศผู้ผลิต
7.  ค่าปริมาตรโดยประมาณ
วิธีการใช้บีกเกอร์
1. เลือกขนาดของบีกเกอร์ให้เหมาะสมกับงาน โดยคำนึงถึงปริมาณของเหลว
2. จับแท่งแก้วแตะกับปากบีกเกอร์
3. เอียงบีกเกอร์ให้ของเหลวไหลตามแท่งแก้วลงสู่ภาชนะที่รองรับ

ประโยชน์ของบีกเกอร์
1. ใช้สำหรับต้มสารละลายที่มีปริมาณมากๆ
2. ใช้สำหรับเตรียมสารละลายต่างๆ
3. ใช้สำหรับตกตะกอนและใช้ระเหยของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรดน้อย

ข้อควรระวัง
  •   ไม่ใช้บีกเกอร์ทุกขนาดทดลองปฏิกิริยาระหว่างสารโดยเด็ดขาด
dropper-pic หลอดหยด๑dropper หลอดหยด๓
         หลอดหยด(dropper) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สําหรับตวงของเหลวปริมาณน้อย ๆ ทำได้โดยการนับจำนวนหยดของของเหลวที่หยดลงไป และสามารถเทียบมาตรฐาน(calibrate)ด้วยกระบอกตวง แล้วใช้เป็นค่าโดยประมาณสำหรับทำการทดลองต่อไปได้
หลอดหยดจะมีลักษณะเป็นหลอดแก้วที่ปลายข้างหนึ่งยาวเรียวเล็ก และปลายอีกข้างหนึ่งมีกระเปาะยางสวมอยู่
วิธีการใช้งาน
1. ค่อย ๆ บีบจุกยางเพื่อไล่อากาศออกจากหลอดหยด
2. จุ่มในสารละลายที่ต้องการจะดูด
3. ค่อยๆปล่อยจุกยางเพื่อดูดสารละลายเข้ามาในหลอดหยด โดยดูดเข้ามาให้ปริมาณของเหลวใกล้เคียงกับปริมาตรที่ต้องการใช้
4. เคลื่อนย้ายหลอดหยดไปยังภาชนะที่ต้องการและไม่ควรจะให้หลอดหยดสัมผัสกับภาชนะใดระหว่างการเคลื่อนย้าย เพราะอาจเกิดการปนเปื้อน
5. ค่อย ๆ บีบจุกยาง เพื่อปล่อยสารละลายทีละหยดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรให้ปลายหลอดหยดแตะขอบภาชนะและอย่าให้สูงกว่าปากภาชนะมากเกินไป
ข้อควรระวัง
1. อย่าให้สารละลายสัมผัสกับกระเปาะยางเพราะจะทำให้สารละลายถูกปนเปื้อนได้
2. ถ้าสารละลายมีฤทธิ์เป็นกรดก็จะกัดกร่อนกระเปาะยางด้วย ดังนั้นเมื่อทำการทดลองเสร็จแล้วควรรีบดึงกระเปาะยางออกจากหลอดแก้วทันที


ปิเปต
pipette 1
         ปิเปตต์ (pipette) ใช้สำหรับตวง หรือวัดปริมาตรของสารละลายให้ได้ปริมารตรที่แน่นอน มีความถูกต้องสูง มี 2 ชนิดด้วยกัน คือ measuring pipette จะไม่มีป่องแก้วตรงกลาง และ แบบ volumetric pipette จะมีแก้วป่องบริเวณตรงกลางปิเปตต์ ซึ่งความถูกต้องจะมีมากกว่า measuring pipette         โดยมีวิธีการใช้งานที่ง่ายสำหรับผู้ที่ใช้เป็นแล้ว แต่ยากสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยใช้ ต้องใช้ร่วมกับลูกยาง (rubber bulb) เพื่อดูดสารละลายเข้าไปในปิเปตต์ ให้มากกว่าขีดบอกปริมาตร จากนั้นนำลูกยางออก แล้วใช้นิ้วชี้ปิดที่ปลายปิเปตต์ หลังจากนั้นค่อยๆ ปล่อยสารละลายออกมาจนถึงขีดบอกปริมาตร และค่อยถ่ายสารละลายในปิเปตต์ลงในภาชนะที่ต้องการ
การใช้ลูกยางดูดปิเปตต์ (rubber bulb)
วิธีการใช้งานลูกยางดูดปิเปตต์ธรรมดาคือ                                                                                                  1.  บีบลูกยางเพื่อไล่อากาศออกและสวมเข้าไปที่ปลายของปิเปตต์ไม่ต้องแน่นมาก หรือให้จุกยางแนบสนิทก็พอ แล้วจุ่มลงปิเปตต์ลงในสารละลาย
2.   คลายมือที่บีบลูกยางออก สารละลายก็จะถูกดูดเข้ามาในปิเปตต์ โดยให้สารละลายถูกดูดเข้ามาเกินขีดบอกปริมาตร และใช้นิ้วชี้ปิดที่ปลายของปิเปตต์อย่างรวดเร็ว
3.  ใช้กระดาษทิชชูเช็ดที่ปลายปิเปตต์ แล้วค่อยๆ คลายนิ้วชี้ที่ปิดปลายปิเปตต์ไว้ สารละลายจะไหลออกมาจนถึงระดับของขีดบอกปริมาตร
4.  ถ่ายสารละลายทั้งหมดใส่ในภาชนะที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้ต้องใช้เวลาในการฝึกดูดสารละลายพอสมควร


กล้องจุลทรรศน์
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
mcs01 กล้องจุล..
( มองจากด้านข้าง )
mcs02  กล้องจุล...
( มองจากด้านหลัง )
mcs05   กล้องจุล...
( มองจากด้านหน้ากล้อง )
        การใช้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Lightmicroscope) มีวิธีใช้ดังนี้
1. วางกล้องให้ฐานอยู่บนพื้นรองรับที่เรียบสม่ำเสมอ
2. หมุนเลนส์ใกล้วัตถุ (objective lens) อันที่มีกำลังขยายต่ำสุดมาอยู่ตรงกับลำกล้อง
3. ปรับกระจกเงาใต้แท่นวางวัตถุให้แสงสะท้อนเข้าลำกล้องเต็มที่
4. นำสไลด์ที่จะศึกษาวางบนแท่นวางวัตถุ ให้วัตถุอยู่ตรงกลางบริเวณที่แสงผ่าน
แล้วมองด้านข้างตามแนวระดับแท่นวางวัตถุ ค่อย ๆ หมุนปุ่มปรับภาพ หยาบ                                      (coarse adjustment knob) ให้ลำกล้องเลื่อนมาอยู่ใกล้วัตถุที่จะศึกษามากที่สุดโดยระวังอย่าให้เลนส์ใกล้วัตถุสัมผัสกับกระจกปิดสไลด์
5. มองผ่านเลส์ใกล้ตา (eyepiece) ลงตามลำกล้อง พร้อมกับหมุนปุ่มปรับภาพหยาบขึ้นช้า ๆ จนมองเห็นวัตถุที่จะศึกษาค่อนข้างชัดเจน แล้วจึงเปลี่ยนมาหมุนปรับปุ่มภาพละเอียด (fine adjustment knob) เพื่อปรับภาพให้คมชัด อาจเลื่อนสไลด์ไปมาช้าง ๆเพื่อให้สิ่งที่ต้องการศึกษามาอยู่กลางแนวลำกล้อง
6. ถ้าต้องการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุอันที่มีกำลังขยายสูงขึ้นเข้ามาในแนวลำกล้อง
และไม่ต้องขยับสไลด์อีก แล้วหมุนปุ่มปรับภาพละเอียดเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
7. การปรับแสงที่เข้าในลำกล้องให้มากหรือน้อย ให้หมุนแผ่นไดอะแฟรม (diaphragm)
ปรับแสงตามต้องการ
ข้อควรระวังในการใช้
1.  การยกกล้องควรให้มือหนึ่งจับแขนกล้องและอีกมือหนึ่งรองที่ฐาน
2.  สไลด์และกระจกปิดสไลด์ไม่ควรเปียกเพราะจะทำให้แท่นวางวัตถุเกิดสนิมและเลนส์ใกล้วัตถุชื้น  เกิดราได้
3.  ขณะที่ตามองผ่านเลนส์ใกล้ตาเมื่อจะต้องหมุนปุ่มปรับภาพหยาบต้องมองด้านข้างตามแนวระดับแท่นวางวัตถุและหมุนให้เลนส์ใกล้วัตถุกับแท่นวางวัตถุเคลื่อนเข้าหากันเพราะเลนส์ใกล้วัตถุ อาจกระทบกระจกสไลด์ทำให้เลนส์แตกได้
4.  การหาภาพเริ่มต้นต้องใช้กำลังขยายต่ำสุดก่อนเสมอ
5.  ในการทำความสะอาดให้ใช้กระดาษหำหรับเช็ดเลนส์เท่านั้น
6.  เมื่อใช้เสร็จแล้วต้องเอาวัตถุที่ศึกษาออกเช็ดแท่นวางวัตถุและเช็ดเลนส์ให้สะอาดหมุนเลนส์ใกล้วัตถุกำลังขยายต่ำสุดให้อยู่ตรงกับลำกล้อง และเลื่อนลำกล้องลงต่ำสุด
ปรับกระจกให้อยู่ในแนวตั้งได้ฉากกับแท่นวางวัตถุเพื่อไม่ให้ฝุ่นลงแล้วเก็บใส่กล่องหรือใส่ตู้ให้เรียบร้อย


ตะเกียง
ตะเกียง    lamp01
ตะเกียงแอลกอฮอล์
ตะเกียง lampset04
การวางตะเกียง พร้อมที่กั้นลม
การใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์
1.  ก่อนการใช้ต้องสำรวจดูสภาพของส่วนยึดไส้ตะเกียงไม่ร้าวหรือแตก และปริมาณแอกอฮอล์ในตะเกียงมีมากน้อยเพียงใด
2.  ไส้ตะเกียงต้องทำให้สูงพอเหมาะ เมื่อจุดไฟแล้วจะได้เปลวไฟที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป
3.  การเติมแอลกอฮอล์ ควรเติมประมาณครึ่งหนึ่งของตะเกียง โดยใช้กรวยและเติมด้วยความระมัดระวังอย่าให้หก เพราะอาจทำให้ไฟไหม้ลุกลามได้เมื่อจุดตะเกียง
4.  การจุดตะเกียง ต้องใช้ก้านไม้ขีด ห้ามนำตะเกียงไปต่อกันโดยตรงหรือถือตะเกียงที่จุดแล้วเดินไปมา เพราะอาจทำให้แอลกอฮอล์หกและติดไฟ ซึ่งเป็นอันตรายมาก
5.  เมื่อใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์เสร็จแล้วต้องดับตะเกียงทันที โดยใช้ฝาครอบปิด ห้ามใช้ปากเป่าให้ดับ
6.  ควรมีกระป๋องทรายไว้ทิ้งก้านไม้ขีดที่จุดไฟแล้ว



เทอร์มอมิเตอร์

termometer02
เทอร์มอมิเตอร์ เป็นเครื่องมือใช้วัดอุณหภูมิของสาร ภายในเทอร์มอมิเตอร์นั้นจะใส่สารพวกแอลกอฮอล์ผสมสีไว้ บางชนิดใส่ปรอทสีเงินเข้าไปภายใน อุณหภูมิจะมีตั้งแต่ 0-100 องศาเซลเซียสtermometer02
การใช้เทอร์มอมิเตอร์
1. ให้เทอร์มอมิเตอร์จุ่มหรือสัมผัสกับสิ่งที่ต้องการจะวัดอุณหภูมิและระวังไม่ให้กระเปาะแตะด้านข้างหรือ
ก้นของภาชนะ
2. ให้ก้านของเทอร์มอมิเตอร์ตั้วตรงในแนวดิ่ง
3. อ่านค่าอุณหภูมิเมื่อของเหลวในหลอดหยุดมนิ่ง
4. การอ่านค่าอุณหภูมิ ต้องให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับระดับของเหลวในเมอร์มอมิเตอร์
5. อ่านอุณหภูมิขณะที่กระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ยังสัมผัสกับสิ่งที่วัดอยู่ เมื่ออ่านเสร็จแล้วจึงเอาออกจากการสัมผัสได้
ข้อควรระวังในการใช้เทอร์มอมิเตอร์
1. ไม่ควรให้เทอร์มอมิเตอร์กระแทกของแข็งแรง ๆ
2.  ไม่ควรวัดอุณหภูมิที่แตกต่างกันทันที เช่น การที่วัดของร้อนจัดแล้วนำไปวัดของเย็นจัดต่อจะทำให้แตกได้ง่าย
3.  เมื่อใช้งานเสร็จควรล้างและเช็ดให้แห้ง  
เครื่องชั่ง
       การใช้เครื่องชั่งนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวัง  เวลาชั่งก็ไม่ควรชั่งเกินขีดจำกัดเพราะจะทำให้เครื่องชั่งนั้นใช้ได้ไม่นาน  ส่วนการวางเครื่องชั่งนั้นควรวางในพื้นที่แข็งราบเรียบและไม่เคลื่อนย้าย   บ่อย ๆเพราะจะทำให้เครื่องชั่งชำรุด  และการชั่งอาจคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งเครื่องชั่งแบ่งได้เป็นสองแบบคือ
1. เครื่องชั่งแบบกล อาจจะเป็นจานเดียวหรือสองจานก็ได้   2. เครื่องชั่งไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังแบ่งตามความถูกต้องความแม่นยำได้อีกสองประเภทคือ  1. เครื่องชั่งแบบหยาบ
2. เครื่องชั่งแบบละเอียดหรือเครื่องชั่งวิเคราะห์
วิธีการใช้เครื่องชั่ง
1. วางเครื่องชั่งให้แยกจากเครื่องมืออื่นและต้องวางบนพื้นที่ไม่สั่นสะเทือน ราบเรียบสม้ำเสมอ
2. ควรอุ่นเครื่องชั่งอย่างน้อย 15-30 นาที ก่อนที่จะใช้งาน
3. ก่อนใช้ควรดูว่าขีดอยู่ที่ศูนย์หรือไม่หรือลูกน้ำอยู่ที่เส้นตรงกลางหรือเปล่า (แสดงถึงเครื่องชั่งอยู่ในสภาวะสมดุล)
4. เวลาชั่งต้องนั่งหรือยืนกึ่งกลางของเครื่องชั่งเสมอ
5. ไม่ควรนำวัตถุที่ร้อนไปชั่ง
6. ไม่ชั่งสารที่หนักเกินความจำกัดของเครื่องชั่ง
7. สารที่ต้องการชั่งที่ละเหยง่ายควรใส่ภาชนะปิดฝาให้มิดชิด
8. ไม่วางวัตถุลงจานโดยตรง
9. เมื่อไม่ได้ใช้นานควรใส่ถุงดูดความชื้นในตู้เก็บด้วยเพื่อกันไอน้ำและสนิม
10. รักษาความสะอาด ใช้เสร็จควรคลุมด้วยถุงทุกครั้งเพื่อกันฝุ่น



ที่มา https://garnjanaporn.wordpress.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น